ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

หาต้นน้ำ

๒๓ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

หาต้นน้ำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : สงสัยอะไร เอาเลย

โยม : เวลาผมทำสมาธิ พอจิตมันรวม ก็มีปรากฏการณ์เป็นลักษณะเหมือนสีน้ำเงิน

หลวงพ่อ : ว่าไป

โยม : จากตรงนี้แล้วควรจะทำตรงไหนต่อครับ

หลวงพ่อ : สีน้ำเงินเป็นแสงอย่างไร เป็นรูปลักษณะอย่างไร

โยม : เป็นลักษณะวงกลมครับ

หลวงพ่อ : แล้วมันสงบ มันใช้อะไรมา สงบพุทโธ

โยม : พุทโธครับ

หลวงพ่อ : ลักษณะวงกลมต่างๆ นะ พุทโธอย่างเดียว ของอย่างนี้แก้ง่ายๆ เลย ถ้ามันแสงสีเกิดต่างๆ แสงมันเกิด เราบอกเลย รถนี่นะ จอดอยู่นี่เข็มไมล์ไม่กระดิก เข็มไมล์จะกระดิกต่อเมื่อล้อมันหมุน ถ้าล้อมันหมุนเข็มกระดิก จิตปกติของคนไม่มีแสงไม่มีสีหรอก ถ้ามีแสงมีสีมันก็แบบว่าอุปาทานไปเฉยๆ

แต่ถ้าการพุทโธ หรือทำความสงบของใจ ถ้าทำความสงบของใจ ใจมันเริ่มมีอาการสงบขึ้นมา มันจะเห็นสีแสง พวกแสงต่างๆ นี่แสงนะ นี่ก็ขณิกะ เพราะอะไร เพราะเขาเห็นแสงเฉยๆ ถ้ามัน พอเห็นแสงปั๊บ ถ้าการแก้เพื่อต้องการให้มันสงบเข้าไป ก็ต้องกำหนดพุทโธให้ชัดขึ้นมา แสงทุกอย่างเกิดจากจิตเห็นๆ

เว้นไว้แต่ มันมีเว้นไว้แต่นะ การแก้ธรรมะไม่มีสูตรสำเร็จ เว้นไว้แต่อะไร เว้นไว้แต่จิตที่คึกคะนอง จิตที่มีบุญญาธิการ จิตที่มีบุญญาธิการ พอมันเห็น เพราะบุญมันมี มันมีอำนาจของมัน มันสร้างของมันมา พอสร้างของมัน พอแสงมันมีของมันไง เหมือนเรา รูปร่างลักษณะเราเป็นอย่างนี้ เราอยากเป็นเหมือนคนอื่น เป็นไปได้ไหม เป็นได้เฉพาะมีดเท่านั้นแหละ มีดผ่าตัด มันเป็นไปไม่ได้

พอเป็นไปไม่ได้ เราจะแก้ไขมันอย่างไร ถ้าจิตมันคึกคะนอง คำว่าคึกคะนองนี่นะ มันมีวาสนา พอจิตรวมพั้บ! เห็นตัวเองไปเดินจงกรมบนอากาศเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นปั๊บ มันสว่าง สว่างตลอด เราจะดึง ต้องดึงความสว่างนั้นเข้ามาๆ ดึงด้วยความนึกไง การดึงไม่ใช่อะไรไปดึง ดึงน่ะนึก รำพึง ให้มันหดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามา

พอเข้ามาถึงตัวจิตปั๊บ พอความแสงสว่างนั้นรวมที่เห็นต่างๆ แสงที่เห็นต่างๆ หดสั้นเข้ามาๆ มันจะเข้ามาอย่างนี้ พอมาถึงจิตปั๊บ มันสว่างที่กลางดวงจิต พอสว่างกลางดวงจิต ดวงจิตจะครอบโลกธาตุเลย อย่างนี้แก้ไม่ได้ อย่างนี้มันเป็นข้อเท็จจริงของจิตอย่างนั้น แต่ขณะที่เราเห็นอย่างนี้ แก้ได้ การแก้ได้เพราะอะไร เพราะนี่จิตเห็นใช่ไหม แสงสีต่างๆ ที่เกิดขึ้น จิตเห็น

ถ้าจิตเห็น พอจิตมันเริ่มเปลี่ยนจากจิตปุถุชน จิตปกติ จิตปกติคือสามัญสำนึกเรา โดยโลกปุถุชนเรา โดยโลกของมนุษย์ ถ้าจิตของเราปกติจะเป็นอย่างนี้ ถ้าคนมันจิตเภท เห็นโน่นเห็นนี่ จิตระแวง นั่นจะเป็นโรคจิต นั่นคือโรคของจิต

แต่นี่การปฏิบัติ ไม่ใช่ การปฏิบัติมันต่างกันกับโลก โลกนี่ถ้ามี จิตเรามีอาการขึ้นไป มันเหมือนกับว่าเราเป็นคนแบบว่าป่วยทางจิต แต่ทีนี้พอเรานักปฏิบัติไม่กล้าพูดอย่างนั้นไง นักปฏิบัติคิดว่า เราพูดออกไปแล้วเราจะเสียหาย กลัวว่าเราจะเป็นคนป่วยคนไข้ กลัวว่าเราจะเป็นโรคทางจิต ไม่ใช่ อันนี้เป็นสัจธรรม

คำว่าสัจธรรม สัจจะ! สัจจะความจริงของจิตที่มันเป็น กับอุปาทาน มันเป็นเรื่องของกิเลส ที่กิเลสเข้าไปโลก เจ็บป่วย เจ็บทางจิตนั่นน่ะ ฉะนั้น พอพูดอย่างนี้ไป ที่โลกเขาเถียงกันอยู่นี่ไงว่า ปฏิบัติแล้วจะบ้า ปฏิบัติแล้วจะมีอะไร ไม่ใช่! มันมีอาการของมันอย่างนั้นต่างหาก

คนที่มีอาการอย่างนั้นมาปฏิบัติ มันถึงมีวิตกกังวลมันถึงจะเป็น แต่ถ้าในการปฏิบัติของเรา ถ้าเห็นแสงนะ เห็นแสงต่างๆ จิตเห็น พอจิตเห็นปั๊บ พอจิตเห็น ก็พุทโธๆๆ จิตเห็น พอกลับมาเป็นความรู้สึกทั้งหมดที่เห็น มันกลับมาที่ตัวมันเอง แสงยังอยู่ไหม แน่นอน พุทโธชัดๆ

ทีนี้ที่มันไม่หายเพราะอะไรรู้ไหม พอมันไม่หายปั๊บ ภาวนาเห็นแสงปั๊บ เฮ้ย นั่นแสงอะไร นั่นคืออะไร พอนั่นคืออะไร ความอยากรู้ เห็นนั่นคืออันหนึ่งแล้วนะ ความอยากรู้มันตอกย้ำให้จิตส่งออกเป็นสองเท่า แสงนั้นชัดขึ้นมาเลย

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ เราย้อนกลับมาที่เราๆ พอย้อนกลับมาที่เรา พอย้อนกลับทั้งหมด ดูสิ สายไฟมันไม่มีออกไป ปลายสายมันจะมีไฟได้อย่างไร ความรับรู้ไม่ได้ออกไปที่จิต ออกไปที่แสงนั้น แสงนั้นมีได้อย่างไร

พอมันกลับมา เน้นย้ำตรงนี้ๆๆ จน นี่พอเห็นแสงปั๊บ พอจิตเข้ามา ปีติ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ พอเห็นแสง พอสะสมเข้ามา กำลังจะเพิ่มมากขึ้น จากขณิกะเป็นอุปจาร พออุปจาร อุปจารคือวงรอบของจิต วงรอบของจิตมันจะรับรู้สิ่งต่างๆ อีกเหมือนกัน

พอรับรู้สิ่งต่างๆ มันจะเป็นสัจธรรมแล้ว พอรับรู้สิ่งต่างๆ การเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม อยู่ระดับนี้ จิตระดับนี้ แล้วถ้าพุทโธต่อไป จากระดับนี้จะเป็นอัปปนาสมาธิ อัปปนานี่ดับหมดเลย สักแต่ว่ารู้ ดับ รู้อยู่นะ คำว่าดับไม่ใช่ไม่มี

คำว่าดับมันละเอียดเข้าไปจนนิ่งหมดเลยนะ เสียงเสิงมันไม่มีเลย มันไม่รับ มันไม่มีสิ่งอะไร อายตนะมันดับหมด มันตัดหมดไง จิตเป็นเอกเทศของตัวมันเองเลย สักแต่ว่ารู้ มันรู้ชัดเจนมากเลย แต่ไม่รู้ออกมานอกผิวหนัง ไม่รับรู้ออกมานอกจากตัวมันเองเลย

โอ้โฮ อันนี้ถึงใช้วิปัสสนาไม่ได้ เพราะมันคลายตัวออกมา พอคลายออกมาหน่อยก็เป็นอุปจารอีกล่ะ ขณิกะสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อุปจาร การเห็นของมัน เพราะว่าอะไร เพราะการเห็นของขณิกะคือการเห็นของเรา กำลังมันยังอ่อน พออุปจาร กำลังมันเข้มแข็งขึ้น ของแข็งแรงยกขึ้นได้หมดเลย เห็นไหม

เห็นแสงยังไม่รู้จักมันเลย ยกไม่เป็น ทำไม่ได้ แต่ถ้ามันโตขึ้นมาเป็นอุปจารนะ พอเห็น เอ๊อะๆ คำว่าเห็น คือเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าไม่เห็น ไม่เห็นต้องรำพึงขึ้น นี่พูดถึงในการทำความสงบของใจ

ไอ้ทำความสงบของใจมันมีหลากหลายวิธีการเยอะมาก กำหนดพุทโธมาตลอดเลยเหรอ เพราะว่าเมื่อวานมา เขาบอกไปหาหลวงปู่ดูลย์มา หลวงปู่ดูลย์ให้ดูจิต เคยดูจิตไหม?

โยม : เคยทำอยู่นิดหน่อย แต่รู้สึกไม่ถูกจริต รู้สึกอึดอัด

หลวงพ่อ : ถ้าทำอย่างนั้น อย่างเมื่อวานเขาคุยกันมาก ไม่ได้คุยกันมาก มันไม่มีเวลามาก ให้คุยเนื้อๆ ไง เขาว่าหลวงปู่ดูลย์สอนอย่างนั้น ก็ว่า หลวงปู่ดูลย์สอนจริงๆ หลวงปู่ดูลย์สอนหลายหลาก

อันนี้มันเป็นความถนัด เป็นความชำนาญๆ แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านเปิดกว้าง เห็นไหม ท่านสอนหลายอย่าง สอนแล้วแต่จริตของคน แต่เวลาถ้าเขากำหนดอย่างเดียว เฉพาะอย่างเดียว มันเหมือนร้านอาหาร ถ้ามีอาหารอยู่ชนิดเดียว ร้านอาหารนั้นไปไม่รอดหรอก เพราะคนกินมันหลากหลายมาก

ทีนี้จริตนิสัยของคนมันต้องเปิดให้กว้าง แล้วใครเปิดกว้างแค่ไหน ทำได้ขนาดไหนก็ให้เขาทำกันไป ภาวนามาหลายปีแล้ว?

โยม : ครับ ก็พยายามทำเท่าที่มีโอกาสทำครับ

หลวงพ่อ : อ๋อ เมื่อวานพี่ชายมาพูดถึงเรื่องเห็นอาการของจิต เมื่อวานพี่ชายพูดออกมาเรื่องนี้ จับอาการได้เหมือนกัน จับอาการได้ แต่เขาไม่พูดอย่างนี้ จับอาการได้แล้วตามความคิดไป อย่างเมื่อกี้ ว่าเคยเห็นต้นทางแล้วจะให้เป็นอย่างนี้ บอกไม่ใช่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะอาการมันไหลไง

เขาบอกเขาจับความคิดได้ แล้วตามความคิดไป แล้วตามความคิดไปอย่างนั้น บอก ผิดหมด! เพราะถ้าไหลตามไปมันส่งออก ทางพระพุทธเจ้าบอกแล้วให้ทวนกระแสกลับ ต้องย้อนกลับไปที่จิต ไม่ใช่ออกไปรับรู้ตามมัน

ทีนี้คำว่าออกไปรับรู้ตามมัน เห็นไหม ไหลไปตามความคิดไง ความคิดไหลไป แล้วไหลไปตามความคิด เราบอก ผิด ไหลไปตามความคิด เราบอกอาการเป็นอย่างนั้นๆ ถ้าไหลไปตามความคิดอย่างนี้นะ มันไปอย่างนี้นะ มันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป

แต่ถ้าพูดถึงเราตั้งสติแล้วเราทวนกลับไป เพราะความคิดเกิดจากจิต แม่น้ำเกิดจากตาน้ำ ใครจะสำรวจแม่น้ำสายนี้ต้องขึ้นไปถึงตาน้ำ ตาน้ำเป็นที่ผุดของแหล่งน้ำนั้น จากตาน้ำมันจะไหลออกมาเป็นแม่น้ำ

แต่ความคิดของเรา เราอยู่ในแม่น้ำนั้น เราจะออกไปสำรวจแม่น้ำนั้น เราออกปากน้ำไง ออกปากอ่าวไง โอ้โฮ ไปตามเรื่อยเลย แล้วมึงจะไปเจอต้นน้ำไหม นี่ไง ความคิดไง เวลาความคิดมาก็ตามความคิดไปไง ตามความคิดไป มันก็ออกปากอ่าวโน่น ลงทะเล

แต่ถ้าพระพุทธเจ้าสอนนะ มึงต้องทวนกระแสน้ำกลับขึ้นไป เหนื่อยฉิบหายเลย โอ๊ย ไม่เอา เหนื่อย โอ๊ย ลอยคอไปตามน้ำ สบาย โอ๊ย สบาย สบายสิ ปลาวาฬมันอ้าปากรอแดกมึง ถ้ามึงขึ้นข้างบน มึงขึ้นไป มึงขึ้นไป เดี๋ยวมึงก็ขึ้นไปถึงต้นน้ำ

เมื่อวานอธิบายให้พี่ชายฟัง ต้องทวนกระแส! ต้องทวนกระแส! ทีนี้ทวนกระแสนี่ เริ่มต้นนี่ การทวนกระแสมันไม่ได้ เพราะพวกเราทำปฏิบัติไม่เป็น โลกียปัญญา โลก ปฏิบัติไม่เป็น แล้วเราพวกไปปฏิบัติ เราจะปฏิเสธโลกไง ว่าโลกนี้เป็นของสมมุติ โลกนี้แบบว่า ทุกอย่างเป็นกิเลสหมดไง

ก็เราเกิดมากับกิเลส แล้วจะไม่ให้มีกิเลสได้อย่างไร ก็เราเกิดมากับกิเลส ก็มันเป็นกิเลสน่ะ ก็จะเอากิเลสกูนี่แก้กิเลส ก็จะเอากูนี่แหละแก้กับมัน แต่บอกว่าไม่ใช่ นี่เป็นสมมุติ นี่มันเป็นกิเลส ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ไม่ได้ แล้วจะเริ่มต้นที่ไหน อ้าว แล้วจะแก้กิเลสกู แล้วไปแก้ที่บ้านใคร อ้าว มันก็ต้องแก้ที่กูนี่แหละ

แล้วพอแก้ที่กูปั๊บก็ต้องเอานี่ เราจะบอกว่านี่โลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดทั้งหมด ที่เขาคิดว่าเป็นธรรมๆ กันน่ะ มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งหมด ปัญญาโลก แต่เพราะเราใช้ปัญญานี้ไล่เข้าไป ที่เราบอกว่าความคิดตามกระแสไปๆ มันผิดๆ แต่มันก็ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น

พอธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเราก็ตั้งสติตามมันๆ ตามมันจนรู้เท่าทันมัน มันหยุด เห็นไหม การหยุดนี่เป็นสมาธิ เราตามความคิดไป หรือใช้สติไล่ความคิดไป ความคิดมันหยุด พอมันหยุดขึ้นมา หยุดบ่อยครั้งเข้า พอมันหยุดปั๊บ จิตเห็นอาการของจิต

จิตเห็นอาการของจิต จิตคือต้นน้ำใช่ไหม เห็นอาการของจิตใช่ไหม พอจิตเห็นอาการของจิต ทวนกระแส พอมันจับได้มันจะไล่เข้าไป ไล่เข้าไปดับที่ไหน ความคิดเกิดจากอะไร ความคิดเกิดจากจิต แล้วมันดับด้วยเหลืออะไร ก็เหลือจิต นี่ไง พอเหลือจิตปั๊บ นี่ไง ที่ว่าเป็นสมมุติๆ เป็นกิเลสๆ นี่ไง กิเลสมันสงบตัวลงพักหนึ่ง

พอกิเลสมันสงบตัวลง สัจธรรมมันเกิดแล้ว เกิดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีเราคิด เราจินตนาการ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเริ่มต้น สิ่งที่เริ่มต้นมา เริ่มต้นจากปัญญาอบรมสมาธิคือเริ่มต้นจากกิเลสนั่นแหละแต่เขาเข้าใจว่าการใช้ปัญญานั้นคือพระพุทธเจ้าสอนปัญญาไง

สอนให้บริหารปัญญาๆ นี่คือปัญญา แต่ไม่รู้ปัญญาของใคร พระพุทธเจ้าแบ่งว่า โลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส โลกุตตรปัญญา ปัญญาของธรรม โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างโลก กับปัญญาที่ส่งเสริมโลก แต่เขาใช้ธรรมะ ตรึกในธรรมะ แต่ใช้ปัญญา ปัญญาการส่งเสริมโลก ใช่ไหม

ส่งเสริมนี่ก็เพราะกิเลสใช่ไหม แล้วว่ากูรู้ธรรมะไง ธรรมะกับกูคนละอัน กูรู้ธรรมะไง แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญานะ ธรรมะเป็นกู กูธรรมะกับกูมันชำระล้างกัน กูรู้ธรรมะ คือธรรมะมันอยู่ไกลไง ตรึกในธรรมพระพุทธเจ้าไง โลกียปัญญาใช่ไหม โอ้โฮ แล้วชัดเจนนะ อริยสัจเป็นอย่างนั้นนะ

โอ้โฮ คุยปากเปียกปากแฉะเลย โอ้โฮ ธรรมะนะ เพราะกูพูดธรรมะไง แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญานะ ธรรมะกระทืบกู ธรรมะกระทืบกิเลสกูเลย พูดไม่ออก อ๊อกๆ พูดไม่ออกเลยนะ เพราะอะไร เพราะมันชำระล้างตัวเรา

แต่ถ้าคุยธรรมะ แจ้วๆๆๆ นะ กูพูดธรรมะ แต่ถ้าเป็นโลกุตตรปัญญานะ ธรรมะกระทืบกู มันทวนกระแสกลับเข้ามา ตรงนี้ที่ว่า โลกียะ โลกุตตระ ถ้าเห็นแสงเห็นอะไรต่างๆ แล้วพุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปเรื่อยๆ ตั้งสติไปเรื่อยๆ แล้วพอเวลามันสงบแล้ว เราออกใช้ความคิดได้ ตรึกในธรรมนี่แหละ

ถามตัวเอง ชีวิตนี้เกิดมาทำไม เวลาเกิด มันเกิดมาจากไหน ไอ้คนฟังเทศน์เรามันจะรู้หมด เวลาบอกนะ โลกก็บอกว่าเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดมาจากท้องแม่ ใช่ไหม แต่ธรรมะบอกไม่ใช่ เกิดมาจากกรรมมึง ปฏิสนธิจิตมันไปปฏิสนธิอยู่ในไข่ ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ มันจะ..

ไข่ ประจำเดือน แม่ขับทิ้งทุกวัน ทุกเดือนขับทิ้งๆ อ้าว ถ้าไข่มันเกิดมาเป็นคน ทำไมไข่ทุกใบไม่เกิดเป็นคนให้หมดล่ะ อ้าว ทำไมต้องมีปฏิสนธิวิญญาณเข้าไปปฏิสนธิในไข่ใบนั้น เกิดจากกรรมของจิตเรา

จิตเรามันมีการปฏิสนธิจิต ไม่มีจิตปฏิสนธิในไข่มันจะเกิดได้อย่างไร จิตวิญญาณของเรานี่เกิดจากกรรม ถามสิ ถามตัวเอง ตั้งประเด็นขึ้นมาอย่างนี้ แล้วเดินจงกรม โอ๊ย สนุกมาก

โยม : คือจิตสงบแล้วต้องสอนตัวเองใช่ไหม

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : ไม่สอนอยู่เฉยๆ ไม่ได้

หลวงพ่อ : ถ้าอยู่เฉยๆ เห็นไหม อยู่เฉยๆ แล้วมันเหนื่อย อยู่เฉยๆ แล้วบางทีมันคุ้นชิน พอสงบแล้ว เราใช้ปัญญาของเราได้ เขาเรียก “ฝึก” ไง หลวงตาท่านพูดอยู่เลย ปัญญาไม่ได้ลอยมาจากฟ้า

ทำศีล สมาธิ ทำสมาธิแล้วเกิดปัญญา เดี๋ยวปัญญามันจะมาเอง อีกร้อยชาติมึงน่ะ อีกร้อยชาติปัญญามันยังไม่เกิด

“ปัญญาต้องฝึก” หลวงตาเน้นเลย “ปัญญาต้องฝึก” พอฝึกปัญญาเห็นไหม เมื่อก่อนหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านทำความสงบของใจ ใจสงบมาก ทีแรกจิตมันเสื่อมก็ไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็สอนมาว่าให้ทำความสงบ พอสงบแล้วก็ไม่ยอมออก เห็นไหม ติดสมาธิไม่ยอมออก

พอท่านบอก “นี่มันสุข สุขแค่นี้ สุขแค่เศษเนื้อติดฟัน”

มันต้องออก พอออกไป ปัญญามันเกิด พอปัญญามันเกิด ก็ไปหาหลวงปู่มั่น

“โอ้โฮ นี่ปัญญามันเกิด ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”

“ไอ้บ้าสังขาร บ้าสังขาร”

บ้าสังขารคือปัญญามันเกิด มันเกิดจนไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ก็ต้องกลับมาที่พุทโธอีก เวลาไม่เป็นสมาธิท่านก็บอกให้ทำสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้ว ท่านบอกให้ออกมาใช้ปัญญา พอบอกปัญญารับรอง ท่านบอกให้กลับมาสมาธิ เออๆ นี่คนเป็นสอน

เพราะสมาธิมันมีหยาบมีละเอียดไง มันต้องสมดุลกัน มันต้องใช้เป็นๆ แล้วถ้าใช้ไม่เป็น ดูอย่างเครื่องสองจังหวะอย่างนี้ น้ำมันเบนซินผสมกับทูที เห็นไหม อ้าว แล้วมึงไม่ผสมก็ลูกสูบติดนะมึง อ้าว แล้วมึงผสม ผสมอย่างไร ไอ้นี่ไม่เป็นสมาธิก็ไม่ได้ ไอ้เป็นปัญญา ยังไม่ได้สมาธิก็ไม่ได้อีก

อ้าว นี่ฝึก เราต้องฝึกหัดฝึกปัญญา ปัญญามันจะเริ่มเกิด เพราะถ้าเราคิดอย่างนี้ คิดอย่างหนึ่ง ถ้าจิตเราสงบ ความคิดเราไปอีกอย่างหนึ่งนะ ดูปัญญาสิ บางทีคิด คิดอะไรไม่ออกนะ เวลาเกิดสมาธิแล้ว โอ้โฮ ปิ๊งเลยนะ แล้วเดี๋ยวก็ลืม เฮ้ย ทำไมคิดไม่ได้อย่างนั้นวะ ทำไมคิดไม่ได้อย่างนั้นวะ โอ๊ย อยากจะคิดให้ได้อย่างนั้นเลย

อ้าว อยากจะคิดไง ก็คือปัญญา อยากจะคิดแล้ว ว่าคิดแล้วมันดี แต่ไม่ได้คิดเลยว่า ความคิดอย่างนี้ เกิดจากฐานของสมาธิ มันถึงได้คิดแตกต่างกับตอนที่ไม่เป็นสมาธิ เขาไม่ได้คิดเลยว่า ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ กับปัญญาที่เกิดจากกิเลสมันต่างกันอย่างไร

แต่คนไม่รู้ที่มาไง ถึงดูถูกสมาธิ ดูถูกสมถะอย่างนี้มากเลย แต่เพราะมีสมถะ มีตัวฐานของสมาธิ ปัญญามัน ปิ๊งๆๆๆ มันเกิดจากตัวนี้ แล้วพอตัวนี้เสื่อมแล้ว ปัญญามันคิดจนตาย คิดไม่ออก ไอ้หัวขี้เลื่อย แต่พอมีปัญญา มีสมาธิมา โอ้โฮ มันปิ๊งๆๆๆ อีกแล้ว

แล้วมันคิดด้วยเหตุผลของปัญญาไง แต่ไม่เห็นผลของสิ่งที่รองรับปัญญาไง ถ้าไม่มีตัวนี้นะ ปัญญาคิด เรา โอ้โฮ ลูกศิษย์ด็อกเตอร์ทั้งนั้น พวกมึงน่ะเรียนมาจากไหน ไม่มีพระพุทธเจ้ามึงก็เรียนด็อกเตอร์มาได้ พระพุทธเจ้าต้องการปัญญาอย่างพวกมึงนี่เหรอ

ปัญญาด็อกเตอร์พวกมึงเรียนมาจากไหน ศาสตราจารย์มึงทำอะไรกันมา ทำวิจัยกันมา ทำทางวิชาการมา มึงก็ทำกันเองได้ แล้วปัญญาอย่างนี้เหรอมันจะมาฆ่ากิเลส พระพุทธเจ้าไม่ต้องการปัญญาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าต้องการภาวนามยปัญญา

ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา การภาวนา ปัญญาในปัจจุบันธรรมที่เข้าไปชำระกิเลส ที่เข้าไปถึงใจ เพราะมันปัญญาจากจิตไม่ใช่ปัญญาจากสมอง ด็อกเตอร์ก็ด็อกเตอร์ เดี๋ยวหงายท้องเลยนะมึง เพราะเราเข้าใจผิดกัน เราเข้าใจว่าปัญญาของเรา ใช้ปัญญากันแล้ว โอ้โฮ ปัญญานี่ โอ้โฮ เลอเลิศเลยปัญญา ลืมไปว่าปัญญานี่มันเกิดจากใคร

เกิดจากตัวตนไง เกิดจากภพเราไง แล้วภพเรามันมีอวิชชาไง อวิชชาคือความเห็นแก่ตัว ความเข้าข้างตัวเอง แล้วความคิดนี่เป็นกลางไหม แล้วเรารู้เราเก่งนะ แล้วพูดธรรมะนะ พูดธรรมะ เถียงกันฉิบหายเลย อ้าวมึงก็เก่ง กูก็เก่ง ฉะกันมา แล้วจิตนี้ไว้แก้อะไร นั่นธรรมะพระพุทธเจ้านะ พุทธวิสัย

พุทธวิสัยมันคาดการณ์ไม่ได้ด้วย ไอ้ที่พูดน่ะ เศษเดนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เฉยๆ ความรู้จริงพระพุทธเจ้ามากกว่านั้นอีกกี่ล้านกี่หมื่นเท่า แต่พูดธรรมะพระพุทธเจ้านะ แต่ถ้ามันย้อนกลับมา สมถะ สมถะคือตัวตนของเรา สมาธิคือตัวภพ สมาธิคือตัวจิต

พอสมาธิเป็นตัวจิตเป็นสมาธิได้เพราะอะไร เพราะว่าตัวตนของเรา อีโก้ของเรา ทิฏฐิมานะของเรา ถ้ามันมีทิฏฐิมานะของเรา เป็นสงบไม่ได้ พุทโธๆๆ นี่เพื่อตัวตน เพื่อทิฏฐิมานะของเรามันสงบตัวลง จิตถึง เฮ้อ เป็นสมาธิ พอเฮ้อนี่มันไม่มีอะไรขัดแย้งแล้ว มันเหมือนกับเกียร์ว่าง ฟรี มึงจะเข้าเกียร์อะไรล่ะ มึงจะคิดอะไรกันนี่

แต่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ มันเกียร์ตายตัว มันอยู่ในเกียร์เลย ความคิดกับกู กูนี่เก่งมาก กูนี่ยอดเยี่ยม กูนี่สุดยอดคน เทวดาสู้กูไม่ได้ กูเก่งกว่าเทวดาอีก มันอยู่ในเกียร์แล้วมันปลดไม่ได้นะ แล้วเป็นสมาธิได้อย่างไร เป็นสมาธิ คือมันปลดว่างหมด พอมันปลดว่างหมด

ถ้าปัญญามันเกิด เห็นไหม นี่โลกุตตรปัญญา เพราะปัญญาเกิดจากจิตเพียวๆ ไง พลังงานเฉยๆ ตัวพลังงานคือตัวมันไม่รู้จักตัวมันเอง พลังงานที่รู้จักตัวเองไม่มี ทีนี้ตัวพลังงานคือตัวอวิชชา คือมันไม่รู้จักตัวมันเอง มันเป็นพลังงานนะ มันเป็นพลังงาน แต่ตัวมันเองไม่รู้จัก

เหมือนน้ำมัน สาดไปในบ้านเผาเขาหมดเลยนะ เผาแม่งทุกบ้านเลย แต่ตัวมันไม่รู้ตัวมัน แต่มันเผาเขาได้หมด ทีนี้พอมันเป็นตัวมันเองเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ แต่ผ่องใสก็ไม่รู้ว่าผ่องใส กูเห็นอยู่แต่กูไม่รู้ มันผ่องใสอย่างไรกูไม่รู้ นี่ฝึกปัญญา แล้วปัญญาเกิดจากนี่ เห็นไหม ไม่มีเรา เห็นไหม พลังงาน

แต่พอมีเรา อย่างที่ว่า พอเริ่มเห็น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะปัญญามันเกิด มันจะไหลไปตามปัญญา คือมันเป็นหนึ่งเดียว ถ้ามีสองนี่มันแตกแล้ว แตกคือสมาธิมันอ่อนแล้ว ถ้าความคิดหลากหลายนะ เออ เรียบร้อย แต่ถ้าความคิดมันพุ่งตรงเลยนะ พิจารณาอย่างไรก็ปล่อย ถ้ากำลังพอนะ พิจารณาไปปุ๊บ ปล่อยๆๆๆ

โอ้โฮ ว่างหมด เหมือนกับเรามีดาบคมกล้า โอ้โฮ ไม้นี่ สับ พั้บๆ โอ้โฮ สุดยอดเลย พอดาบมันทื่อนะ ฝักกระเด้งเลยคราวนี้ กลับมาที่ความสงบ

คนภาวนาไป การทำสมาธิก็แสนยาก พอแสนยากขึ้นไปแล้วก็ว่ายากสุดยอดแล้ว แต่พอมาใช้ปัญญานะ โอ้โฮ ก็ยากอีก แล้วจะใช้อย่างไร มันเป็นความยากคนละอย่างกัน ความยากของเราคือยากความเก็บหอมรอมริบ หาทุน พอเราออกไปทำธุรกิจขึ้นมานะ โอ้โฮ คู่แข่งเยอะฉิบหายเลย

ทุกคนจะเบียดกูตกทางตลอดเลย ทำอย่างไรจะให้อยู่ได้ มันเป็นงานคนละชนิดกัน แต่เกิดจากจิตดวงเดียว ถ้าไม่มีทุนเลย เอ็งจะเข้าไปตลาดได้อย่างไร เขาถีบมึงตกตลาดหมดน่ะ แต่ถ้ากูมีทุนมาบ้างนะ กูจะเข้าตลาด เข้าตลาดกิเลสมัน อันนี้มันจะฆ่ากิเลสแล้ว วิปัสสนาจะฆ่ากิเลสแล้ว มันจะได้ผลตอบแทนแล้ว

แต่การทำสมถะ หาต้นทุน ไม่มีผลตอบแทน ผลตอบแทนคือความสุขเราเท่านั้นเอง แต่ไม่มีผลตอบแทน เพราะมันจะฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่ถ้าออกวิปัสสนา มันจะมีผลตอบแทนแล้ว พอผลตอบแทน อย่างที่พูดเมื่อกี้ ถ้ามัน ปัญญามันรอบหนึ่ง ตทังคปหานไปรอบหนึ่งมันจะปล่อย ปล่อย นี่ผลตอบแทนนะ ผลตอบแทนนี่มีความสุข

แต่ผลตอบแทนอันนี้ยังไม่มั่นคง ซ้ำๆๆๆ ไป จนวางบิลเก็บตังค์แล้ว โอ้โฮ ของกูแล้ว ใส่กระเป๋า พอวางบิลปั๊บ เงินจ่ายมาปั๊บ สมุจเฉท พั้วะ ขาด อกุปธรรม ไม่มีการเสื่อม คราวนี้นะ จับหัวทิ่มดินขนาดไหนก็ไม่เสื่อม เสื่อมไม่ได้ อกุปธรรม โสดาบันเสื่อมไม่ได้ ตายตัว

มีคนมาถามไง พระโสดาบัน พระสกิทา พระอนาคา จะมาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าได้ไหม? เขาบอกเกิดไม่ได้ ถ้าเกิดได้จะรู้ก่อนพระพุทธเจ้า โอ้โฮ มึงจะบ้า พระพุทธเจ้าก็พระพุทธเจ้า แต่เวลาเขามาเกิด เขามาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้า ไอ้โสดาบัน สกิทา อนาคา มันอยู่ในใจของเขา

แต่พอมันเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ คุณภาพของจิตมันประเสริฐ เห็นไหมขิปปาภิญญา เพราะอะไร เพราะฐานของเขา ความรู้สึกของเขา มันเหนือกว่าเรากี่ร้อยเท่า มันเป็นอกุปธรรมในหัวใจ แต่ด้วยความเซ่อของเราที่เกิดมา กูไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร กูไม่รู้นะมึง กูไม่รู้หรอก แต่ในใจกูมี

แล้วพวกนี้นะ ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทา มาแล้ว จะไม่มีการผ่านโสดาบัน สกิทา มันจะขิปปาภิญญา พั้วะ ขาดเลย แต่ถ้าพูดถึงต้องมาผ่านโสดาบัน สกิทา อนาคา ไอ้พวกนี้ไม่มีมา ไม่ต้องห่วงว่าจะมีโสดาบัน ไม่มีหรอก ถ้ามีมามันขาดไปแล้ว มันจะใช้เป็นโสดาบันอะไรอีกล่ะ

ไอ้ที่ว่าผ่านทีละขั้นๆ น่ะ ไม่มีหรอก อย่ากลัวว่าตัวเองมีเยอะ เดี๋ยวกลัวจะไม่ได้ทำ ไม่ต้องกลัวๆ ทำไปเลยๆ ถ้าทำไปแล้วมันผ่านมันรู้เลย ถ้ามันไม่ผ่านเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสักกายทิฏฐิเป็นอย่างไร ความติดข้องของจิตที่มันเกี่ยวพันกับกายเรา มันเกี่ยวพันอย่างไร

ฉะนั้นมันขาดไปแล้วๆๆ ขิปปาภิญญา ผู้ที่ทำตรัสรู้ง่าย ทำง่ายรู้ง่าย พั้วะ ขาดเลย เป็นพระอรหันต์เลย นี่ไง เขาบอกเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคา แล้วจะมาเกิดในศาสนาไม่ได้ พอเกิดในศาสนาแล้ว เขาบอกเพราะมาเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้า คือรู้ก่อนพระพุทธเจ้าไง กูฟังปัญหาที่ถามกู โอ้ มันคิดได้ขนาดนั้นเนอะ คนนี่มันช่างคิดเว้ย

โยม : หลวงพ่อครับ แล้วเราควรจะเริ่มสอนจิตเรา เมื่อจิตเราสงบในระดับไหนดีครับ

หลวงพ่อ : สอนทุกเวลาๆ แต่สอนระดับไหนไง สอนให้สงบใช่ไหม เราก็รักษาสิ ไม่ใช่ว่าเราจะไปสอนตรงที่จิตสงบแล้วนะ สอนทุกเวลา คำว่าสอนทุกเวลา จิตย่อมไม่สงบ ปกตินี่เราก็พุทโธแล้วตั้งสติ นี่ก็สอนแล้วใช่ไหม

ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ บางทีใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือใช้ปัญญาไล่ความคิด คำว่าปัญญาไล่ความคิดคือเรามีสติตามความคิดไปใช่ไหม ความคิดน่ะ มันคิดดีคิดชั่ว แล้วคิดดีคิดชั่วน่ะ ผลของมันคืออะไร ถ้ามันคิดชั่วนะ โอ้โฮ มึงคิดได้เลวขนาดนี้เนอะ แต่ถ้ามึงคิดดี โอ้ วันนี้มึงคิดดี ทำไมไม่คิดมากๆ ล่ะ นี่ปัญญาอบรมสมาธิมันปล่อยเข้ามา นี่ก็สอนอันหนึ่ง

แต่พอจิตมันเริ่มสงบ มันเข้าเกียร์ว่างแล้ว เราก็ถามถึงชีวิต ถามถึงอะไร มันก็เป็นการสอนในอีกระดับหนึ่ง ความคิดเหมือนกันนะ ความคิดอันเดียวกัน ความคิดในสมองเรานี่แหละ แต่ความคิดมันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เหมือนกับความคิดในขั้นอนุบาล ความคิดในขั้นประถม ความคิดในมัธยม อุดมศึกษา ความคิดมันแตกต่าง จิตละเอียด ความคิดอันเดียวกันนี่แหละ

พระสมัยพุทธกาลไปถามพระพุทธเจ้าไง ไปถามพระพุทธเจ้า ไปถึง ฝนมันตก เห็นไหม พอฝนมันตก น้ำมันนองหมดเลย แล้วพอหยดน้ำมันเป็นฟองเป็นต่อมขึ้นมา ไปสังเกตดู เป็นพระอรหันต์เลย

ไอ้เราฝนตกเห็นเกิดเต็มไปหมดเลยนะ เป็นแพเลยนะ กูไม่เป็นห่าอะไรเลย อ้าว กูเห็นเหมือนกันนี่แหละ กลับมาที่ความคิด จิตที่มีคุณภาพ จิตที่เขากำลังฝักใฝ่อยู่กับการเกิดดับ การจะออกจากกิเลส คุณภาพของจิตมันสูงมาก เห็นเหมือนกันนี่แหละ มุมมองเห็นเหมือนกัน คนหนึ่งเห็นหยดน้ำขึ้นมา เห็นน้ำตกลงมาข้างล่าง เฮ้ย ตกเยอะๆ เลยนะ ให้น้ำนองเลย เดี๋ยวอึ่งอ่างมันออก กูจะไปจับอึ่งอ่าง มันคิดจะไปเอากบหรืออึ่งอ่างนะ มันไม่ได้คิดเรื่องธรรมะเลย

ไอ้จิตที่มีคุณภาพ โอ้ ฝนมันตกเป็นตุ่มเป็นฟองมันกระแทกขึ้นมา ความคิดเหมือนกัน อย่าคิดว่า โอ๊ย ระดับนั้นค่อยคิดอย่างนั้น คิดทุกระดับเลย แต่ความคิดมันหยาบละเอียด คุณภาพของมัน อยู่ที่คุณภาพของจิต คิดทุกวินาที ใช้ปัญญาตลอดการก้าวเดิน ทุกตลอดเวลาเลย แต่มันเป็นความคิดของขั้นใดเท่านั้นเอง

นี่เราไม่เข้าใจใช่ไหม เราก็ว่าจิตต้องสงบก่อน พอจิตสงบก่อนแล้วค่อยออกใช้ปัญญา เพราะมีคนมาต่อล้อต่อเถียงตรงนี้เยอะมาก แล้วเมื่อไหร่จะสงบล่ะ แล้วเมื่อไหร่จะได้ใช้ปัญญาล่ะ แล้วเมื่อไหร่ล่ะ โอ๊ย อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้ปัญญาสิ ฝึกได้ ใช้ได้ เพียงแต่เราพูดอย่างนี้ เราก็โต้แย้งเขาว่า

“การใช้ปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔”

ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่การพิจารณาหรอก เพราะจิตมันยังไม่สงบ แต่มันก็ต้องใช้ปัญญาขึ้นมา แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ก็คิด พอบอกไม่ใช่ก็คือไม่ใช้เลย จะให้มันสงบก่อน ก็การใช้ปัญญานั้น มันก็ทำให้จิตสงบเข้ามานั่นแหละ การใช้ปัญญาในสตินั้นก็ทำให้จิตสงบขึ้นมา แล้วจิตสงบแล้ว มันพิจารณาของมันด้วยฐานของจิตที่มันดี ปัญญามันจะลึกกว่า แล้วปัญญา ผลเรารู้เองเลยล่ะ

น้ำร้อนน้ำเย็น โอ้โฮ น้ำร้อนกินระวังนะ ลวกปากนะ ถ้าน้ำเย็น โอ้โฮ สบาย นี่เหมือนกัน น้ำร้อน น้ำเย็น ความคิด น้ำเหมือนกัน แต่น้ำร้อน น้ำเย็น ความคิดในสมถะ ปัญญาในสมถะ ปัญญาในวิปัสสนา น้ำร้อน น้ำเย็น โอ๊ย กว่าจะเอาน้ำเย็นนะ สมถะน้ำเย็น กว่าจะต้มให้มันร้อนนะ นี่ไง ตบะธรรมไง

โอ๊ย กว่าจะเดือดนะลำบากฉิบหายเลย พอเดือดเสร็จแล้ว เสือกใช้ไม่เป็นอีก ปล่อยให้มันเย็น เดือดแล้วจะทำอย่างไร ชงโอวัลตินไหม จะชงกาแฟก็ได้ น้ำเดือดน่ะ สมถะ วิปัสสนา เพียงแต่เราพูด เวลาเราจะโต้แย้ง เพราะเราโต้แย้งหมายถึงว่า มันเป็นความเข้าใจผิดของการปฏิบัติหลายๆ ฝ่าย บอกว่า

การใช้ปัญญาแล้วนี่ คือมันวิปัสสนา แล้วผลของมันก็คือนิพพานไง แต่ความจริงที่เขาใช้ปัญญาคือสมถะ ผลของมันคือปล่อยวางไง พอผลของมันปล่อยวางคือว่าง สบาย พอผลปล่อยวางปุ๊บ เพราะความเข้าใจผิด เข้าใจผิดว่านี่คือปัญญา คือวิปัสสนาแล้ว

พอวิปัสสนา พอมันปล่อยวางแล้วก็คิดว่าเป็นผล ส่วนใหญ่คิดกันอย่างนั้น เขาว่าเป็นผลนะ เพราะความเห็นผิด แต่สำหรับเรานะ มิจฉาทิฎฐิ เพราะความเข้าใจว่ามันเป็นผล มันเลยไม่มีสติ ไม่มีความเข้าใจ ก็เป็นมิจฉาทิฎฐิ ถ้าเป็นสมาธิก็มิจฉาสมาธิ เพราะไม่เข้าใจ

แต่เราพุทโธๆ พอมันเป็นผลขึ้นมา มันเป็นสมาธิ เออ สัมมา สัมมาเพราะอะไร สัมมาเพราะมีสติรู้เท่าไง เออ ว่างเนอะ เป็นสงบสุขมากเลยเนอะ แล้วทำอย่างไรต่อไป เห็นไหม มันจะยกวิปัสสนา มันจะทำอย่างไรต่อไป มันใช้ประโยชน์ไง

แต่ถ้ามันเข้าใจผิด เห็นไหม นี่เสร็จแล้ว ว่าง โอ้โฮ นี่ว่าง นี่ไง แล้วนี่ปฏิบัติสายตรงนะ พวกนั้นน่ะโง่ ทำ ทุกข์ ลำบากนะ ตัวเองเป็นมิจฉาทิฏฐินะ ยังไปว่าคนอื่น ที่เราโต้แย้ง เราโต้แย้งคือมุมมองของเรา เห็นการปฏิบัติมา มันมีแนวทางมาอย่างนั้น แล้วผลมันจะเป็นอย่างนี้ พอผลเป็นอย่างนี้ปั๊บ เป็นความเข้าใจผิดของเขา

เราเศร้าใจมากเลย นักเรียนอนุบาล มึงเขียน ก.ไก่ ก. กา เป็นเท่านั้น มึงยังไม่ทำอะไรเลย มึงว่านี่เป็นวิปัสสนาสายตรง แล้วศาสนาพุทธกู มันมหัศจรรย์เลิศเลอกว่านี้เยอะแยะเลย แล้วมึงเข้าใจศาสนาพุทธกันแค่นี้ แล้วคนอื่นจะทำก็บอกไม่ได้นะ

พอเราทำขึ้นมา พอพุทโธไป พอจิตมันเปลี่ยนแปลงไง นี่ผิด สมถะมันเกิดนิมิต สมถะเกิดในคนหลงผิด สมถะเกิดจะทำให้คนเสียหาย กูยังไม่ได้เดินเลยนะมึง กูเพียงแต่ แค่นักกีฬาวอร์ม แค่วอร์มนะ แค่ออกกำลังกายนะ ยืดเส้นยืดสาย ยังไม่ได้ลงแข่งเลยนะ มันบอกว่าผิดแล้ว

เวรกรรม! เหตุที่บางที เพราะถ้าเอาซีดีเราไปฟัง เราจะโต้แย้งเรื่อง อย่างนั้นไม่ใช่ปัญญา วิปัสสนาอย่างนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะว่า เราต้องการโต้แย้งตรงนี้ แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติ เริ่มต้นมันต้องใช้ปัญญาไปตลอด เพราะปัญญาขั้นไหน ปัญญาจิตของเรายังหยาบอยู่ ก็ต้องใช้ปัญญาหยาบๆ เพื่อรักษาใจให้ดีขึ้น

ถ้าจิตของเราดีขึ้นมาแล้ว ถ้าใช้ปัญญาต่อไป ปัญญานี่มันจะเป็นดาบคมกล้ากลับมาเชือดกิเลสเรา เพราะมันมีฐานของมัน มีสมาธิของมัน คือมีที่ของมันที่จะเข้าไปชำระมัน แต่นี่เรายังไม่มีอะไรเลย เราจะไปชำระใคร มีอะไรว่ามา

โยม : แล้วถ้าจิตสงบแล้ว เรารู้ฐานที่ตั้งของจิตได้แล้ว แต่ระหว่างนั้น พวกธรรมารมณ์ที่มันเข้ามากระทบอยู่ ตรงนั้นเอามาใช้ได้ไหมครับ เอามาพิจารณาได้ไหม

หลวงพ่อ : ถ้าจิตเราสงบจริงนะ ธรรมารมณ์เข้ามา สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าธรรมารมณ์ นั่นล่ะคือตัวสติปัฏฐาน ๔เลย

โยม : แต่มันเหมือนมันไม่มีวันหมดเลย

หลวงพ่อ : ไม่มีวันหมด! แม้แต่พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็ยังไม่หมด ถ้าหมดแล้ว ทำไมพระเจ้าสุทโธทนะมานิมนต์พระพุทธเจ้า นิมนต์พระพุทธเจ้าไปเทศน์ที่กรุงกบิลพัสด์นั้น พระพุทธเจ้ารู้จักพระเจ้าสุทโธทนะไหม

โยม : รู้จัก

หลวงพ่อ : นั่นคืออะไร

โยม : พระบิดา

หลวงพ่อ : พระบิดาคือตัวพระเจ้าสุทโธทนะ แต่ความรู้สึกของพระพุทธเจ้าที่จำพระเจ้าสุทโธทนะได้สิ นี่ไง พระอรหันต์ไง ความรับรู้ว่านางพิมพา ความรับรู้ว่าสามเณรราหุล อันนั้นอะไร นี่ธรรมารมณ์ยังไม่หมดไง คือความเข้าใจผิด จริงๆนะ โทษนะ เราก็เคยมีความคิดอย่างนี้เหมือนกัน คิดว่าเวลาสะอาด สะอาดหมดจดเลย สะอาดไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่ใช่ กิเลสสะอาดแต่ความคิดยังมีอยู่ ความคิดไม่ใช่กิเลส

โยม : ถ้ามันเกิดขึ้น เราก็ปล่อยให้เกิดดับไปอย่างนั้น

หลวงพ่อ : ไม่ใช่เกิดดับ นี่จะบอกก่อน นี่เราพูดให้เห็นว่ามันมีตลอดเวลาใช่ไหม แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมานี่ เพราะถ้ามันเกิดขึ้นมากับเรา เราเป็นปุถุชน พอเราเป็นปุถุชน ความคิดที่เกิดขึ้นมา ความคิดของพระอรหันต์สะอาด แต่ความคิดของเรานี่ความคิดของมาร เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจเรา ความคิดนี้สกปรกไม่สะอาดหรอก ฉะนั้น ความคิดนี่มันไม่ใช่กิเลส แต่มาร ตัณหาความทะยานอยาก มันบวกความคิดมา ฉะนั้น พอมันบวกความคิดมา เราต้องจับความคิดมา กรองไง จับความคิดมากรอง ความคิดน่ะ คิดมาจากอะไร ใครเป็นคนคิดมา

โยม : ผู้ผลิตความนึกคิดนี่เหรอ

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : ตัวจิต

หลวงพ่อ : ความคิดนี่ใครคิดมา

โยม : ตัวจิต

หลวงพ่อ : แล้วถ้าเรามีธรรมนะ เรามีความสงบใช่ไหม มีความสงบมันก็มีสติ มันก็เห็นความคิดใช่ไหม ก็จับความคิด ความคิดน่ะมันคิดมาจากไหนๆ แล้วมึงเกิดมาจากไหน โลกนี้มีเหตุมีปัจจัยทั้งหมด พายุ ลมพายุเกิด เห็นไหม ความร้อน มันเคลื่อนที่ ลม ความร้อน ความร้อนขึ้นไป ความเย็นไหลเข้ามา กระแสน้ำอุ่นน้ำเย็น เห็นไหม ไหลเข้ามา แล้วความคิดนั้นมาจากไหน แล้วจิตมันมีอะไร มันหลงผิดมันถึงคิดออกมา

โยม : มันจับไม่เจอ รู้แต่ว่ามันผลิตไม่เลิก

หลวงพ่อ : ไม่เลิก ยังดีมันผลิตไม่เลิกเพราะอะไร เราไล่เข้าไปสิ ไม่เลิกเพราะมันอย่างนี้นะ ของแต่ละชิ้น ความคิดแต่ละความคิดมันเป็นของชิ้นหนึ่งนะ อารมณ์ของเธอเป็นเหมือนวัตถุอันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเทศน์ที่เขาคิชฌกูฏ หลานของพระสารีบุตรเข้าไปต่อว่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าเอาพระสารีบุตรมาบวชไง

ว่าไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจ “ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ของเธอด้วย เพราะอารมณ์ของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง”

เราคิดเรื่องต้นไม้ก็เป็นอารมณ์หนึ่ง ในต้นไม้นั้นมีใบ ใบก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ในใบนั้นยังมีกิ่งก้านสาขา ก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง มันคนละความคิดนะมึง ความคิด ๓-๔ ความคิดนี้มันก็คนละตัวแล้ว จับอันใดอันหนึ่งแล้วแยกแยะ เราคิดถึงต้นไม้ ต้นไม้มันประกอบด้วยสิ่งใด

โยม : ให้ทิ้งไปเฉยๆ ใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ถ้าทิ้งไปเฉยๆ มันก็ทับซ้อน ขี่ตายอยู่นี่ไง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะความคิด กิเลสมันสร้างมาใช่ไหม ความคิดมันเป็นธรรมชาติ มันไม่มีกิเลส กิเลสมันบวกความคิดมา พอบวกความคิดมา ความคิดไหลมาใช่หรือเปล่า มันก็เหยียบเราทีหนึ่ง แล้วเราก็ปล่อยมันเฉยๆ ใช่ไหม เดี๋ยวก็เกิดความคิดนะ

ต้นไม้ มันมีใบ มันก็คิดเรื่องใบใช่ไหม แล้วก็มีกิเลสตามมา มันก็เหยียบเราไว้ทีหนึ่ง ในใบมันก็มีก้าน ก้านมันก็มีความคิด ความคิดมันก็บวกกิเลสมา แล้วก็เหยียบเราทีหนึ่ง มันก็เหยียบเราแล้วเหยียบเราอีก เราจะปล่อยไปได้ไหม เราต้องจับมัน ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์ควรกำหนด

สิ่งที่เกิด เพราะมันเกิดการเหยียบย่ำมันถึงเกิดความทุกข์ ถ้าเกิดความทุกข์เราก็จับ ต้นก็จับต้นแล้วพิจารณา ถ้ามันปล่อยแล้ว จับใบ นำใบมาพิจารณา ถ้ามันเกิดอะไร เกิดน้ำในลำต้น ก็จับมาพิจารณาทั้งนั้น จับแล้วพิจารณา

อย่างที่มันคิด มันคิดมา คิดเรื่องอะไร ทำไมเอ็งถึงคิด ถามมันสิ ทำไมเอ็งถึงคิด กูไม่รู้ มันคิดขึ้นมาเอง เออ มันคิดขึ้นมาเอง มันคิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ายังไม่รู้ มันคิดขึ้นมาเองนะ แสดงว่าไม่เห็นตัวตนของมัน

ถ้าเห็นปั๊บ ความคิดขึ้นมา อ๋อ ความคิดอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเหยียบย่ำเรา ความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดเกิดมาจากจิต ความคิดมันเกิดดับ ความคิด จิตนี้เป็นสันตติ มันเกิดดับตลอดเวลา ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวก็เกิดความคิด แต่พอพระอรหันต์

พระพุทธเจ้านี่พอกิเลสมันขาดไปแล้ว จำสามเณรราหุลจำนางพิมพาได้ นางพิมพาให้ราหุลมาขอสมบัติ คิดเลยว่าจะให้สมบัติ เป็นจักรพรรดิ หรือจะให้สมบัติเป็นอริยทรัพย์ พอคิดว่าจะให้สมบัติเป็นอริยทรัพย์ ให้พระสารีบุตร บวชราหุลๆ นี่อะไร แต่มันไม่มีกิเลส เพราะกิเลสได้ตายไปแล้ว

ทีนี้ตัวความคิด ความคิดมันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสมบัติของมนุษย์ มนุษย์เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แต่ตัวกิเลสตัณหามันเป็นอีกตัวหนึ่ง กิเลสตัณหามันเป็นสิ่งที่ เขาเรียกอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิต เห็นไหม อนุสัยมันนอนเนื่องมา

ถ้าเราพิจารณาไปเรื่อยๆ มันก็แยกแยะไปเรื่อยๆ เฮ้ย ความคิดอย่างนี้ถูก ความคิดอย่างนี้ผิด ความคิดอย่างนี้คิดแล้วคิดเล่า ความคิดอย่างนี้ทำไมมึงเหยียบย่ำกูตลอดเวลาวะ พอมันมีปัญญารอบทันปั๊บ พอมันทัน กิเลสมันอาย เอ๊อะ มันก็ปล่อยพั้บ ตทังคปหาน ปล่อยพั้บๆ ซ้ำๆๆ ที่ว่าอัดเข้าไปๆ ซ้ำเข้าไป

ไม่ใช่ว่าเจอกิเลสมึงต่อยหน้ากูที ผลัวะ พอเจอกิเลสก็ต่อยอีกทีหนึ่ง ผลัวะ พอเจอกิเลสมันยิ้มเลยนะ ไอ้นี่โง่ฉิบหาย อยู่ดีๆ ก็ยื่นหน้าให้กูต่อย ต่อยแล้วต่อยอีก แม่ง ยังไม่รู้สึกตัวเลย โอ๊ย กิเลสมันยิ้มเลย

แต่ถ้าปัญญามันทันมันนะ โอ้โฮ มันหลบนะ โอ้ ไอ้นี่ฉลาดเว้ย ไอ้นี่มีธรรมะเว้ย ไอ้นี่มีธรรมาวุธ เว้ย ไอ้นี่มันเชือดกูประจำเลย เว้ย แม่งก็ หลอกนะ เฮ้ย กูปล่อยวางแล้วนะ เฮ้ย เป็นโสดาบันแล้ว เซ่อ แม่งก็ต่อยเอา ฉลาดแม่งก็ใช้เล่ห์กลหลอกมึง

โยม : ทั้งๆ ที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองทั้งหมดนี่

หลวงพ่อ : เราไม่ได้สร้างหรอก มันเป็นเอง

โยม : มันเป็นเอง

หลวงพ่อ : ใช่

โยม : ตั้งแต่เป็นปฐมวิญญาณ

หลวงพ่อ : เป็นหมดเลย เพราะกิเลสมันเป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับจิต ปฏิสนธิจิต ตัวจิตเดิมแท้นั้นคือตัวกิเลส แล้วตัวจิตเดิมแท้นี่เป็นตัวพาเกิดพาตาย กิเลสมีกับทุกดวงจิตที่เกิด ทีนี้คนเกิดมามีกิเลสอยู่แล้วธรรมชาติของมัน แต่เพราะเราศึกษาทางพระพุทธเจ้า เราเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าเป็นผู้สร้างบุญกุศลมา เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงจะเป็นผู้นำ ชี้นำให้เราเห็นเรื่องเหล่านี้ได้

โยม : ทั้งๆ ที่ก่อนเริ่มแรกเราไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตนี่นะ

หลวงพ่อ : อะไรคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต

โยม : จิตตัวนี้

หลวงพ่อ : จิตตัวนี้ไม่มีชีวิตเหรอ ธาตุรู้คือธาตุที่มีชีวิต สันตติ ธาตุรู้นี่คือธาตุที่มหัศจรรย์มาก ธาตุ แร่ธาตุอย่างนี้ไม่มีชีวิต แต่ธาตุรู้มีชีวิต เป็นธาตุที่มหัศจรรย์ จิตไม่มีวันตาย ไม่ใช่ไม่มีชีวิต จิตมีชีวิต มันต่างกับเขาตรงที่ธาตุที่มีชีวิตนี่แหละ

เพราะธาตุที่มีชีวิต ธาตุนี่มันเวียนตายเวียนเกิด ธาตุที่จะไปปฏิสนธิในพรหม ไปเกิดเป็นพรหม พรหมเป็นภพ แล้วใครไปเกิด จิตไปเกิด ทีนี้จิตไปเกิดเป็นมนุษย์ จิตมาเกิดเป็นมนุษย์ จิตปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ มนุษย์ จิตเกิดเองไม่ได้ กำหนดเองไม่ได้ เพราะกำเนิด ๔ ก็มาเกิดในไข่ ในน้ำคร่ำ เพราะโอปปาติกะ ในไข่ ในน้ำคร่ำ ในครรภ์ กำเนิด ๔ อาหาร ๔ ในวัฏฏะ

ทีนี้จิตมันเกิดอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอวิชชาโดยเนื้อหาสาระ แล้วพระพุทธเจ้า เราเคยสงสัยอย่างนี้อยู่แล้ว ว่าจิตนี้มาจากไหน แล้วกูมาจากไหน กูมาอย่างไร โอ้ มันไล่เลย

โยม : ถึงแม้ต่อให้ไม่มีโลกใบนี้นะครับ

หลวงพ่อ : โลกนี้เป็นอจินไตยๆ อจินไตยสี่ พุทธวิสัย กรรม ฌาณ โลก โลกเป็นอย่างนี้ๆ มันแปรสภาพเฉยๆ โลกนี้เป็นอจินไตย ที่ว่าโลกแตกๆ กูถึงว่าไม่มีทางโลกแตก แต่โลกมันเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ องค์ที่ ๕ อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ ไปตรัสรู้ที่ไหน

ทีนี้ว่าโลกมีหรือไม่มีนี่ไง ไอ้ปัญหาอย่างนี้ กูคิดมาหมดแล้วล่ะ ตอนกูถูกกิเลสขู่ กูก็คิดอย่างนี้ แล้วกูใส่กับมันมาเต็มที่แล้ว มันไล่ไปจนนึกว่าสัตว์เซลล์เดียวเลย จิต ที่มันเป็นแตกตัว ไอ้เชื่อโรคน่ะ แล้วพัฒนาการมันมา มันถึงไปเข้าใจพระพุทธเจ้าบอกว่า

เวลาย้อนไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ “ย้อนอดีตชาติไปนี่ ไม่มีต้นไม่มีปลาย”

ขนาด ๔ อสงไขยไปแล้วนะ ๑๖ อสงไขย นับ ๑๖ หน ยังไปอีก แล้วจบที่ไหน โอ้โฮ จิตดวงนี้ถึงมหัศจรรย์มากนะ ฉะนั้น ถ้ามัน พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย คือบอกมึงอย่าไปตาม ไม่จบหรอก เพราะว่าพุทธวิสัย ตามจิตกูเองยังไม่สุดเลย แล้วขี้หมาอย่างเรา พระพุทธเจ้าตามแล้วนะ

โยม : อย่างนั้นแสดงว่าธรรมมารมณ์ที่มากระทบในเวลาที่จิตสงบตอนนั้นเอามา....

หลวงพ่อ : ใช่ เพราะเราแก้ได้ที่ปัจจุบันธรรมนี้

โยม : แต่มีทางจบใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ : ต้องจบด้วย!!! ถ้าไม่จบมันก็ไม่สุด ต้องจบ!!! ไม่ใช่ว่าไม่มีทางจบ ต้องจบ จบคือสมุทเฉท ขาด พอมารขาดแล้ว มันเป็นอิสระ ฟรี พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระพุทธเจ้าดับขันธ์ อนุปาทิเสสนิพพาน มันขาดตั้งแต่ตอนโคนต้นโพธิ์น่ะ พอโคนต้นโพธิ์กิเลสขาดหมดเลย

นี่เวลาถ้าเราไล่ๆ เข้าไปน่ะ กิเลสพอมันขาด ผลัวะ จบแล้ว จบขั้นเดียวนะ จบขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทา ละเอียดเข้าไปอีก ซัดกันอีก ขาด สู้ก็ซัดอีก ไปจบขั้นอนาคา ขาด ไปถึงจิตเดิมแท้ เพราะอะไร เพราะโสดาบัน สกิทา อนาคา จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันมีจิต ตัวจิต ตัวปฏิสนธิจิต ทีนี้ปฏิสนธิจิต ถึงอนาคา มันไปเกิดเป็นพรหม

ทีนี้ถ้าจะทำลาย ทำลายตัวมันเอง ต้องทำลายจิต พอทำลายเห็นไหม ในมหายานบอกว่า เจอพระพุทธเจ้าที่ไหน ฆ่าพระพุทธเจ้าที่นั่น นี่ไง “พุทธะ” จิตเดิมแท้ ถ้าทำลายตัวนี้พั้บ หลวงตาบอก “ธรรมธาตุไม่มีจิต”

เขาบอกเห็นไหม จะเข้านิพพานอย่างไร เข้าไม่ได้ จิตเข้านิพพานไม่ได้ ถ้าโยมจะไปนั่งศาลา โยมไปนั่งขวางศาลาอยู่คนเดียว เข้าศาลามา ศาลาก็ไม่ว่างแล้ว จิตเข้าไปในนิพพานแม่งกูก็ไปขวางนิพพานอยู่ กูจะเข้านิพพานได้อย่างไร อ้าว เออๆ ต้องทำลายมัน ทำลายตัวจิต จิตโดนทำลายหมดเลย เป็น “ธรรมธาตุ”

โยม : ธรรมธาตุเข้านิพพาน

หลวงพ่อ : ตัวธรรมธาตุคือตัวนิพพาน เข้านิพพาน ถ้ายังเข้านิพพานอยู่ ยังมีผู้เข้า ใครจะเข้าไปล่ะ มึงก็เข้าไปขวางเขาอยู่นั่น ฉะนั้น มันต้องสงสัยเป็นธรรมดาๆ แต่ไล่เข้าไป ถ้าสงสัยอยู่ สิ้นกิเลสไม่ได้ เดี๋ยวมันจะไปแก้สงสัยเราหมดเลย การกระทำของเรามันจะฟอก มันจะเห็นของมันเอง แล้วมันทำลายมันตลอด

ยิ่งพูดยิ่งงง ยิ่งพูดแล้วยังไงวะ ก็กูคิดอย่างนี้ ทำไมกูตอบไปอย่างนั้นวะ ยิ่งพูดยิ่งงง เพราะอะไรรู้ไหม วุฒิภาวะ มรรคหยาบมรรคละเอียด โสดาบัน สกิทา ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย สกิทาละเอียดกว่าโสดาบัน

สกิทาพูดเรื่องสกิทานะ โสดาบันมันก็ เออ ต้องเป็นอย่างนี้เว้ย เฮ้ย เขาไม่พูดอย่างนั้น เขาพูดอีกอย่างหนึ่ง แต่กูต้องเป็นอย่างนั้นเว้ยๆ ขนาดคนละขั้นยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย แต่นี่เราคุยกันแหม อวิชชาเชียว แล้วจะบอกว่า เอ็งงงแล้วกันล่ะ เอ็งไม่รู้เรื่องหรอก

โยม : ไม่รู้เรื่องเลยครับ

หลวงพ่อ : ต้องทำให้เราเข้าใจไง เรารู้จริง รู้แจ้ง การรู้แจ้งสว่างโพลง รู้จบ รู้อย่างนี้รู้ไม่จบ รู้การศึกษา ฟังธรรม นี่พูดเมื่อกี้ไง กูพูดธรรมะไง รู้แบบกูพูดธรรมะ กูกิเลส แต่กูเสือกได้ยินธรรมะ งงฉิบหายเลย ก็กูอยู่นี่ อวิชชากูอยู่นี่ แต่กูเสือกรู้ธรรมะ แล้วจะให้มันเข้ากันอย่างไร อึดอัดอีก อู๊ย ตายห่าเลย

ถ้าเป็นรู้แจ้งนะ อ้าว ก็กูรู้เอง อ้าว นี่ไง กูรู้เอง แต่นี่กูรู้ธรรมะ ไม่ได้รู้เอง แต่นี่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย กรรมฐานเรา การฟังธรรม การได้ยินได้ฟังนี่มันชักนำ นี่คือการปฏิบัติสุดยอดที่สุด

ถ้าเราไปทำเอง เราก็เหมือนควบคุม วนอยู่นั่นแหละๆ แต่การได้ยินได้ฟัง เราก็วนอยู่ แต่มันมีตัวอย่าง เราก็วนของเราอยู่ แต่ตัวอย่างนั้น เหมือนไหม ดีไหม มันจะดึงเราขึ้น การฟังธรรมนี่สุดยอด แต่ฟังแล้วงงไหม งง เว้นไว้แต่ผู้ปฏิบัตินะ

หลวงปู่มั่นเทศน์ หลวงตาท่านสอน เพราะที่หนองผือ พระปฏิบัติกันทั้งวัดเลย คนที่ยังไม่มีพื้นฐานเลยก็ฟังหลวงปู่มั่นพูดถึงพื้นฐาน เพราะการเทศน์มันจะเริ่มจากพื้นฐาน แล้วยกขึ้นโสดาบัน ถ้าใครยังพื้นฐานก็ฟังเพราะมันจะดึงขึ้นอย่างไร

คนนี้ได้โสดาบันมาแล้ว ท่านก็เฉยๆ อยู่ เพราะท่านรู้ ท่านผ่านมาแล้ว แล้วพอโสดาบันจะขึ้นสกิทาใช่ไหม พอท่านยกขึ้นมาถึงโสดาบัน อ๋อ มาถึงเราแล้ว แล้วพอยกขึ้นสกิทา เราจะโดดตามแล้ว คือเราพยายามจะให้ปัญญาเราพัฒนาขึ้น ถ้ามันได้ก็ได้ ถ้าไม่ได้ก็เก็บเป็นแนวทางไว้ เดี๋ยวเราเข้าทางจงกรมเรา

แล้วพอท่านพูดถึงขั้นสกิทาปุ๊บ ไอ้คนขั้นสกิทาก็รออยู่แล้ว ท่านพูดเรื่องอนาคาอย่างไร จากอนาคาท่านพูดเรื่องอรหันต์อย่างไร ใจของคนผู้ที่ปฏิบัติมันหลากหลายเยอะแยะไปหมด เวลาเทศน์เป็นชั้นๆ ขึ้นไป แล้วใครโดดเกาะ เกาะเลย

หลวงตาบอกเลยเวลาหลวงปู่มั่นเทศน์ นิพพาน หยิบได้เลย หยิบหมดเลย พอเทศน์จบ ฟ้าปิดหมดเลย กูไม่รู้จะเอานิพพานที่ไหน นิพพานหมดเกลี้ยงเลย เพราะนิพพานมันอยู่ในใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเอามาแจกแจง เอามาแยกแยะให้เราฟัง

เราเป็นลูกศิษย์นะ เราก็เหมือนกับสอยต้นกัลปพฤกษ์เลยล่ะ แหม นิพพานน่ะสอยใหญ่เลย พอเขายกต้นไปทีนี้ไม่รู้สอยที่ไหน(หัวเราะ) หาต้นสอยไม่เจอ ถ้าคนปฏิบัติแล้วใจเป็นธรรมนะ โอ้โฮ หลวงตาท่านพูดนะ ซึ้งมาก

วันไหนถ้าหลวงปู่มั่นจะเทศน์ เหมือนกับเด็กน้อยได้กินนมแม่ ดีอกดีใจเลย จิตใจมัน เราทำอยู่หัวชนฝา เราก็ทำอยู่ แล้วมีคนมาชักนำ มาคอยชี้นำ ยกขึ้นมานี่ งงไหม งง แต่ถ้าไม่ได้ยินอย่างนี้เลยนะ เราก็สะเปะสะปะไปตามใจเรา

นี่ได้ฟังอย่างนี้เป็นแนวทางแล้ว ๑ ๒ ๓ ๔ อ้าว แล้วก็เดินไป ไม่มีแนวทางเลย หัวชนฝา แม่งอัดเข้าไป แล้วถ้ามีใครบอกทางนี้สะดวกๆ โอ๊ย พุ่งไปเลย ก็หัวชนฝาอยู่ใช่ไหม พอเขาเปิดช่องนี้ไว้ นี่สบายเว้ย ไหลไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะไม่มี..

ขึ้นต้นน้ำ ปีนภูเขาไป ขึ้นไปบนภูเขา นั่นน่ะข้างบนโน้น ไม่ขึ้นเว้ย ลำบาก เขาชี้ทางนี้กูจะลง กูจะลงไปหาปลาฉลาม ปลาฉลามมันรออยู่แล้ว เข้ามา มั้บ! ไปเรียบร้อยเลย สบายไง ธรรมะนี่

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา อยู่กับสังคมมา แล้วครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่หลวงตาท่านพูด เวลาท่านพูดเราดูในทีวีบ่อย

หลวงตาท่านเทศน์ “สักแต่ว่าไม่ได้นะ ต้องเข้มแข็งนะ ใครจะมานอนจมอยู่ไม่ได้ เสื่อแตกหมอนแตก”

เสื่อแตกหมอนแตกประจำ เรียบง่ายไม่ได้ กิเลสมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วไปเรียบง่ายให้มัน โอ้โฮ กิเลส หวานเจี๊ยบเลย คือกิเลสไม่ต้องทำอะไรเลยนะ ยื่นมีดให้มัน มันก็สับหน้าเลย อยู่ดีๆ ก็ยื่นมีดให้มัน โอ๊ย สะดวกสบาย โอ๊ย สว่าง ง่าย เอามีดให้มัน

เราจะฆ่ามัน ยื่นเอาดาบไปให้มัน แล้วไม่เหลือเลย ไม่เห็นเหลือเลย เราปากเปียกปากแฉะอยู่ก็ตรงนี้ มันเศร้าใจไง เราลำบากลำบนกันมาขนาดไหน แล้วพอใครจะตั้งอกตั้งใจขึ้นมา มันก็จะพากันออกนอกลู่นอกทาง เรียบง่ายๆ ก็เรียบง่ายก็เรื่องของกิเลส

หลวงตาท่านเน้นย้ำตลอด แล้วหลวงตานี่ท่านเป็นพระที่มีอำนาจวาสนา เพราะท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น พออยู่กับหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์มาหาหลวงปู่มั่น ท่านได้ฟังหมด เพราะท่านเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านรู้หมด อะไรจริงไม่จริง ท่านก็เห็นหมด

แล้วเวลาท่านมาเป็นพระผู้ใหญ่ เจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ ก็ยังไม่แน่ใจ ก็เอาท่านกับหลวงปู่ขาวมาสนทนาธรรมกัน ท่านได้คุยกับหลวงปู่พรหม ท่านได้ไปคุยกับหลวงปู่แหวน เห็นไหม เราตรวจสอบกันอยู่

เวลาไปตรวจสอบนี่หลวงตาท่านพูดเอง เพราะท่านไปหา ไปดูแลมาหมดใช่ไหม ท่านยังบอกเลย ฟากตายๆ ทั้งนั้นเลย ท่านได้สัมผัสของท่าน ด้วยตัวของท่านจริงๆ เลย แล้วท่านก็เตือนพวกเรามาตลอดเลย แล้วใครก็อ้างว่าหลวงตารับประกันๆ

ไม่รู้ประกันเรื่องอะไร ประกันรถมือสองมั้ง ถ้าประกันมันก็ต้องทำแบบนี้นะ ประกันอย่างนั้น ไอ้กรมธรรม์ ดาวน์ไว้อย่างไรก็ต้องทำตามนั้นสิ อันนี้รับประกัน เบี้ยประกันก็ไม่ส่ง อะไรก็ไม่ทำ รับประกันแล้วก็จะเอาแต่เคลม เอาแต่สตางค์ ไม่มีทาง ไม่มีอะไร มีอะไรอีกไหม สงสัยเหรอ

โยม : พอจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอกเมื่อกี้แล้วครับ ก็จะเอาตรงนั้นไปทำต่อ

หลวงพ่อ : ไปทำก่อน เพราะมันต้องคิดตลอด มันต้องดูตลอด แล้วที่สัญญา ที่พูดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเข้าใจว่า พอจิตสงบแล้วจะเห็นกายเหรอ ถึงไม่เห็นอารมณ์ มันเห็นได้นะ เวลาจิตสงบขึ้นมา พอมันผ่อนคลายมา เวทนาก็เกิดแล้ว กาย เวทนา จิต ธรรม อะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง

เห็นกายก็กายชัดๆ สู้กับมัน เห็นเวทนาก็เวทนาชัดๆ ก็สู้กับมัน เห็นจิตก็สู้กับจิต เห็นธรรมารมณ์ก็จับมันให้ได้ ต้องจับให้ได้ก่อน จับให้มั่นคั้นให้ตาย จับมันมาตั้ง เหมือนเอาจำเลยขึ้นศาล ไม่ใช่ปล่อยให้มันเกิดดับไปต่อหน้า ปล่อยมันเกิดดับมันก็สบายสิ มันก็ผ่านไปผ่านมานะ

โอ๊ย ประสาเราเลยนะ เราค้ำประกันใคร ให้คนเขากู้เงิน มันใช้คนเดียวนะ เราตายเลย ค้ำประกันจ่ายตายเลย นี่ให้มันเกิดดับไง ให้มันผ่านไปผ่านมา โอ๊ย ตาย ติดคุกตายห่า ค้ำประกันมันน่ะ แล้วมันใช้ มันก็หนีไปแล้วใช่ไหม แล้วกูถึงไปจ่ายแทนมัน ไม่ได้

กูค้ำประกันมึงนะ ต้องจับมึงมาตรวจสอบ มึงเอาเงินไปใช้อะไร มึงเอาเงินไปใช้บริสุทธิ์ไหม ความคิดมาจับเลย คิดเรื่องอะไร ความคิดนี้ คิดเหตุผลดีหรือชั่ว ความคิดนี้เกิดมาจากอะไร อย่างพูดเมื่อกี้ ไอ้พวกนั้น พอความคิดจบแล้วนะ มันปล่อยวางหมดเลย ในปล่อยวางนั้นมีอะไร

พอนี่มันคิดจบแล้ว ความคิดไม่มี ความคิดไม่มี มันอยู่เฉยๆ พออยู่เฉยๆ เป็นอารมณ์ความรู้สึกอันหนึ่ง ในอารมณ์นั้นมีอะไร เพราะในรูปมันก็มีขันธ์ห้า ในเวทนาก็มีขันธ์ห้า ในรูปมันมีเวทนา มีสังขาร มีวิญญาณนะ ถ้าไม่มีจะรู้รูปได้อย่างไร ในเวทนานะ มันก็มีรูป มีสังขาร มีวิญญาณ

ในเวทนา ถ้าไม่มีวิญญาณมันรับรู้เวทนาได้อย่างไร ในสัญญาก็มีขันธ์ ๕ ในสังขารก็มีขันธ์ ๕ ทุกขันธ์มีขันธ์ ๕ ขันธ์ในขันธ์

โยม : ขันธ์มันซ้อนกันอยู่อย่างนี้

หลวงพ่อ : แสดงว่าไม่ได้ปฏิบัติเลยนี่ เพราะพอเราพิจารณาไปจนมันปล่อยหมดแล้วนะ มันปล่อยมันไม่ขาดหรอก บางทีมันไม่ขาด ถ้าคนมีวาสนามันขาดเลย ถ้าไม่ขาดยังต้องไล่เข้าไปอีก ขันธ์ ๕ มันแตกหมดแล้ว มันปล่อยวางหมดแล้ว พอปล่อยวางมันก็อีกรูปหนึ่งใช่ไหม เวทนาเป็นเวทนาใช่ไหม สัญญาเป็นสัญญาใช่ไหม สังขารเป็นสังขาร มันปล่อยหมดแล้ว ทำไมกูยังไม่จบ ไม่จบก็ต้องขันธ์ในขันธ์แล้ว ซัดเข้าไปอีก

โยม : ทวนเข้าไปเรื่อย

หลวงพ่อ : จับมาขยาย

โยม : ทวนเข้าไปอย่างเดิม

หลวงพ่อ : ใช่ หน้าที่เรา นักกีฬา มึงหน้าที่เล่นนะเว้ย กูเป็นคนให้คะแนนนะเว้ย นักกีฬาจะขอคะแนนไม่ได้

โยม : แต่ถ้ากำลังไม่พอ ถอยกลับมาก่อน

หลวงพ่อ : ใช่ ถ้ากำลังไม่พอถอยกลับมาที่สมาธิ หน้าที่เราให้คะแนนตัวเองไม่ได้ หลวงตาบอกเลย ให้คะแนนตัวเอง ตัดคะแนนตัวเอง มึงไม่รอดหรอก มานั่งภาวนา กูก็ให้ไป ๒๐ คะแนน ๕๐ คะแนน โอ้ กูเก่งกูเก่ง ไม่มีโอกาสให้คะแนนตัวเอง อัดเข้าไปเลย มันอยู่ที่นี่ อยู่ที่ว่านักกีฬาทักษะดีไหม ทำแล้วได้คะแนนไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติแล้วจิตมันลงไหม จิตมันเป็นไหม ไม่ใช่เวลาเราจะมาให้คะแนนหรือเราให้มันเป็นนะ จิตเราต้องเป็นเอง ด้วยกำลัง ด้วยปัญญาของเรานะ ด้วยกำลัง ด้วยปัญญาของเรา มันจะเป็น มันจะสรุปของมัน อย่างนั้นแล้วเราทำอย่างนั้นเข้าไป ไล่เข้าไป สู้เข้าไป มันต้องเป็นของมันอย่างนั้น ปฏิบัติมากี่ปีแล้วนี่ ไม่ต่อเนื่อง

โยม : ไม่ต่อเนื่อง ก็คือติดปัญหาเหล่านี้

หลวงพ่อ : แล้วไม่มีใครแก้ใช่ไหม

โยม : ของผมก็ไม่ต่อเนื่อง พอเจอปัญหา บางทีหนักๆ เข้า ไปไม่รอด

หลวงพ่อ : มันไม่ได้คบบัณฑิตไง คบบัณฑิตหมายถึงหมู่คณะ ลุ้นกัน ยิ่งไปคบเด็กนะ ไอ้คนที่มันหัดภาวนาใหม่ๆ พอมันฟังเราพูด โอ๊ย เก่งแล้ว ตายอีก ไม่ได้คบคนดึงขึ้น ไปคบแต่คนดึงลงไง

โยม : ค่อยๆ เดินไปมันก็ไปเจอ เจอตัวนี้ เจอธรรมารมณ์ที่มันไม่จบสักที ก็ หมดกำลังก็ถอยลงมา

หลวงพ่อ : จับให้ได้ก่อนสิ เจอแล้วเราจับให้ได้เลย จับมัน พอจับมันแล้วแยกแยะมัน ทีนี้คนไม่กล้าจับ เขาไม่กล้าจับเพราะอะไร เพราะคิดว่าเป็นนามธรรม ไม่มี ลองจับดูสิ จับมันเลย

โยม : ท่านอาจารย์ครับ ตัวไหนเด่นชัดที่สุด ก็เอาตัวนั้น

หลวงพ่อ : ใช่ เอาสติจับเลย พอจับแล้วนะ เดี๋ยวจะเห็นเลย โอ้โฮ ไหนว่านามธรรม ทำไมเป็นอย่างนี้ พออย่างนี้ปั๊บ แกะอีก โอ๊ะ ก็คนไม่เคยทำจะรู้ได้อย่างไร นามธรรมมันนามธรรม ทำไมเป็นอย่างนี้

โธ่ พระพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตร “อารมณ์ความรู้สึกของเธอเป็นวัตถุอันหนึ่ง” ไปเปิดพระไตรปิฏกได้เลย “อารมณ์ความคิดเป็นวัตถุอันหนึ่ง” ที่เขาคิชฌกูฏ ไปเปิดพระไตรปิฏกได้ พระสารีบุตรฟังแค่นี้ ปิ๊ง เป็นพระอรหันต์เลย

พระสารีบุตรสำเร็จตรงนี้ นี่ปัญญาวิมุติ คราวนี้ปัญญาวิมุตติมันต้องมีฐานของจิต มีฐานที่มันมี เพราะพระสารีบุตร โอ้โฮ สู้เต็มที่ ผู้มีปัญญามากเทศน์ให้หลานฟัง พระสารีบุตร ยืนพัดอยู่ข้างหลัง ปิ๊ง เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เลย ปัญญาวิมุตติ

ปัญญาวิมุตติมันต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากธรรมจักร ไม่ใช่ปัญญาที่เราคิดขึ้นมาเองไง พอปัญญาวิมุตติ ไอ้ปาน ไอ้ที (เด็ก) มันก็มีปัญญา มันเขียน ก.ไก่ นั่นน่ะปัญญาวิมุตติ ก็เด็กๆ มันก็มีความคิด เด็กๆ ผู้ใหญ่มีความคิดทั้งนั้น แล้วบอกความคิดนั้นเป็นปัญญาวิมุตติ ความคิดอย่างนั้นเป็นวิมุตติ เด็กมันก็ “แม่ขอตังค์ๆ” วิมุตติสิ ๕ บาท

เวลาพูดมันก็ต้องมีระดับของมัน ใช่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญานี้มันมาจากอะไรมันมาอย่างไร มันสมดุลขนาดไหน ไม่ใช่ว่าความคิดอะไรก็เป็นปัญญา โจรปล้นก็เป็นปัญญา ว่าอย่างนั้น ปล้นธนาคารก็ปัญญาวิมุตติ เป็นพระอรหันต์หมดเลยนะ

โอ๊ย มันวางแผนปล้นเราคิดไม่ถึงเลยนะ โอ๊ย ซับซ้อนฉิบหายเลยนะ แล้วก็ปัญญาไหม โอ้ แล้วปัญญาวิมุตติ โอ้ ธนาคารหมดทั้งธนาคารเลย

ปัญญาวิมุตติมันก็ต้องเป็นสัมมา สัมมาปัญญา มันมีสติ สัมมาสมาธิ มีความรับรอง มีความสมดุลของมัน โอ้ เมื่อคืนเทศน์ดีมากนะ สมาธิ เห็นไหม สมาธิก็มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าไปฝึกสมาธิกับอาฬารดาบส ปัญญาก็มีอยู่แล้ว ต่างคนมันแตกกระจาย พระพุทธเจ้าจับมารวมกัน พระพุทธเจ้าพิจารณา พระพุทธเจ้ามารวม โอ้โฮ มรรคญาณ

แต่เมื่อก่อนไม่เคยมีใครใช้อย่างนี้ เอกเทศ ของใครของมัน พระพุทธเจ้าจับมาบริหารจัดการ ผลัวะ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาเลย จบเนอะ